เส้นทางชีวิตหลังจบแพทย์แล้ว เป็นอย่างไร
วันนี้ขอมาเล่าเรื่องอะไรเล็กน้อย เกี่ยวกับชีวิตของแพทย์นะครับ คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ให้กับผู้อ่านได้ในหลายๆส่วน โดยเฉพาะกับคำถามที่ว่า
“หลังจากจบแพทย์ 6 ปีแล้ว หมอแบบพวกเรา ไปอยู่ส่วนไหนของสังคมกันบ้าง”
อย่างที่ทุกๆคนทราบเหมือนกันว่าการเรียนแพทย์นั้นใช้เวลาเรียน 6 ปี หลังจากจบชั้น ม.6 ในระบบภาคการศึกษาปกติของประเทศไทย เข้ามหาวิทยาลัยตอนอายุ 17-18 ปี ตอนจบอายุจะประมาณ 23-24 ปี แตกต่างกันไปในแต่ละคน
พอมาถึงจุดนี้บางส่วนก็จะเลือกที่จะอยู่ในโรงเรียนแพทย์ต่อและเรียนต่อเฉพาะทางในทันที ก็จะจบออกมาเป็นแพทย์เฉพาะทางตั้งแต่อายุยี่สิบปลายๆ ส่วนอีกทางก็อาจจะเลือกออกไปทำงานชดใช้ทุนตามสัญญาที่มีกับภาครัฐ สั้นบ้าง ยาวบ้าง แล้วแต่สัญญา อยู่ในระหว่าง 1-5 ปี
หลังจากนั้นก็จะกลับมาเรียนต่อเฉพาะทาง
พอถึงจังหวะเรียนต่อเฉพาะทาง ก็จะกลับมาเรียน หมออายุรกรรม หมอผ่าตัด หมอตา หมอหู หมอสูติ หมอเด็ก หมอห้องฉุกเฉิน ฯลฯ จะใช้เวลาราวๆ 3-5 ปีแล้วแต่สาขา
หลังจากนั้นพอจบเฉพาะทางเสร็จแล้ว ก็จะมาต่อเฉพาะทางต่อยอด เป็น หมอหัวใจ หมอไต หมอตับ ฯลฯ ว่ากันไปอีก 1-2 ปี แบบนี้
อันนี้คือภาพการเดินทางของหมอในเส้นทางที่เราจะรู้จักและเข้าใจกันดี ให้ผมอธิบายต่อในอีกหนึ่งมุมมองของหมอที่ไม่ได้ทำงานในโรงพยาบาลครับ ซึ่งเทียบสัดส่วนแล้วอาจจะไม่ได้มาก แต่อาจจะเป็นทางเลือกสำหรับใครหลายๆคน
ก่อนอื่นเนื่องจากการที่ตัวเนื้องานไม่ได้อิงกับโรงพยาบาล นั่นแปลว่า ภาระงานส่วนใหญ่ก็อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับการดูแลหรือรักษาคนที่ป่วยโดยตรง แต่จะออกไปในรูปแบบต่างๆ หรือออกไปในแนวทางของการทำวิจัย (research) หรือ ป้องกันโรคมากยิ่งขึ้น (preventive)
ถ้าเราได้ลองมองสาขาวิชาเฉพาะของเวชศาสตร์ป้องกัน (preventive medicine) ที่มีในเมืองไทยตอนนี้ จะมีอยู่ดังนี้ครับ
• ระบาดวิทยา (Epidemiology) เป็นนักระบาดวิทยา ถ้าในยุคโควิดก็จะเห็นภาพชัดเจนที่สุด คือแพทย์ส่วนใหญ่ที่ทำงานในกรมควบคุมโรค มีหน้าที่สอบสวนโรค ส่วนใหญ่แล้วจะทำงานกับภาครัฐเพราะถือเป็น policy maker สามารถขึ้นไปทำงานในองค์กรระหว่างประเทศอย่าง องค์กรอนามัยโลกหรือสำนักงานขององค์กรอนามัยโลกภาคพื้นเอเชีย (SEARO) แบบนี้ ประเทศไทยจะมีหลักสูตรการสอนที่ชื่อว่า FETP ที่มีหมอจากต่างชาติมาเรียนด้วยครับ
• เวชศาสตร์การเดินทางและท่องเที่ยว (Travel Medicine) ดูแลนักเดินทาง (ที่ไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยว) ก่อนเดินทางก็ดูแลและหาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดโรค ณ สถานที่ปลายทางที่เดินทางไป เช่น จะไปแทนซาเนีย 1 เดือน ควรต้องเตรียมตัวอย่างไร หรือ ถ้ากลับมาจากการเดินทางแล้วป่วย จะสงสัยโรคอะไร เพราะแต่ละประเทศจะมีสาเหตุของการเกิดโรคที่อาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนกันได้ แม้จะมาด้วยอาการที่ใกล้เคียงกัน
• เวชศาสตร์การบิน (Aviation Medicine) ดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวกับการแพทย์ที่อยู่เหนือพื้นดินครับ ยกตัวอย่างให้พอเห็นภาพจะมีแพทย์ที่เรียกว่า Flight surgeon ที่ไม่ใช่ศัลยแพทย์นะครับ แต่เป็นแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยระหว่างที่มีการเคลื่อนย้ายทางอากาศ เช่น จำเป็นต้องมีการย้ายผู้ป่วยข้ามประเทศทางเครื่องบินพยาบาล (air ambulance) หรือในเครื่องบินพาณิชย์
• เวชศาสตร์ทางทะเล (Maritime Medicine) ดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวกับทางทะเล ตั้งแต่เวชศาสตร์ใต้น้ำ (underwater) ดูแลเครื่องความดันบรรยากาศสูง (hyperbaric chamber) ซึ่งเรามักจะเข้าใจว่าเอาไว้ภาวะน้ำหนีบในนักดำน้ำ แต่จริงๆเอาไว้ใช้รักษาโรคอื่นได้อีกมากมาย ดูแลคนที่ทำงานในทะเล เพราะในทะเลจะมีระบบกฎหมายการทำงานทางสุขภาพที่แตกต่างของผู้ที่ทำงานบนฝั่งแบบนี้ครับ
• เวชศาสตร์ป้องกันคลินิก (Clinical Preventive Medicine) เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการป้องกันโรคจะพบได้ในคณะแพทยศาสตร์ เนื่องจากเป็นอาจารย์แพทย์ที่จะทำการสอนด้านเวชศาสตร์ป้องกันให้กับนักศึกษาแพทย์หรือแพทย์ประจำบ้านอีกครั้ง
• สาธารณสุขศาสตร์ (Public health)
• สุขภาพจิตชุมชน (Community Mental Health) แพทย์ที่ดูแลด้านสุขภาพจิตในเชิงของการป้องกัน (จิตแพทย์จะลงลึกไปในเรื่องของการรักษาซึ่งเน้นกันคนละจุดครับ)
• อาชีวเวชศาสตร์ (Occupational Medicine) เป็นแพทย์ที่ดูแลและป้องกันโรคภัยที่เกิดจากการประกอบอาชีพ มองให้เห็นภาพคือ การจะมีโรงงานอุตสาหกรรมที่คนทำงาน ทำแล้วไม่เกิดปัญหาทางกาย หมอคนนี้คือคนที่ดูแลและป้องกันครับ เช่น โรงงานทำแร่ใยหิน ก็จะจัดการเรื่องแร่ใยหินให้ถูกต้อง ป้องกันไม่ให้เกิดโรคจากแร่ใยหินแบบนี้
• เวชศาสตร์การจราจร (Traffic Medicine) สาขานี้พึ่งจะเริ่มต้นมีประเทศไทยครับ
นอกจากนี้แล้ว จริงๆแล้ว ยังมีสาขาอื่นๆอีก ที่น่าสนใจแต่ยังไม่ได้มีรายละเอียดในบ้านเรามากนักครับ แพทย์ที่ทำงานในด้าน IT โดยเฉพาะ ที่เรียกว่า Medical Informatician ครับ ซึ่งการเรียนการสอนในสาขานี้ เท่าที่ทราบคือยังไม่มีในเมืองไทย ต้องไปเรียนที่ต่างประเทศ
หรือแพทย์ที่ทำงานอยู่ในสายของนักวิจัย เพราะจบทางด้านวิทยาศาสตร์มาพร้อมๆกัน เช่น ด้านเภสัชวิทยา สรีรวิทยา ภายวิภาคศาสตร์ ฯลฯ ส่วนใหญ่ผู้เชี่ยวขาญสาขานี้จะอยู่ในคณะวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยที่มีคณะแพทย์อยู่ และเป็นผู้ที่ทำการสอนนักศึกษาแพทย์ในช่วงขั้น ปีที่ 2-3 หรือถ้าออกไปทำงานในบริษัทยาก็อาจจะเป็นนักวิจัยยา (Pharmaceutical Researcher)
หรืออาจะเป็นแพทย์ที่ไปทำงานในหน่วยงานของเอกชนที่มีหน่วยงานของแพทย์อยู่ ทำงานเป็นแพทย์ที่เป็นผู้ประสานงานทางการแพทย์ (Medical Coordinator)
ทำงานในบริษัทเอกชนในตำแหน่ง Corporate physician หรือในบริษัทประกัน (Insurance) หรืออาจจะเป็นผู้แทนของบริษัทยา Medical Sales Representative
หรือบางคนอาจจะออกไปโลดแล่นกับหน่วยงานระหว่างประเทศเลย เช่น องค์กรแพทย์ไร้พรมแดน (Médecins Sans Frontières)
หรืออาจจะมาในอาชีพที่คนทั่วไปก็เข้าถึงได้เช่น นักเขียน นักเล่าเรื่อง (medical writer) หรือจะออกมาเริ่มต้นทำธุรกิจในสายงานสุขภาพ (Medical startup entrepreneur) ซึ่งทั้ง 2 อย่างหลังนี้ มีตัวอย่างของผู้ทบุกเบิกไว้ให้เห็นภาพพอสมควรแล้ว
สุดท้ายนี้ ก็ที่เขียนบทความนี้ขึ้นมา ก็อยากให้ทุกคนได้เห็นภาพในอีกด้านหนึ่งของอาชีพที่อาจจะช่วยเป็นแนวทางให้คนหลายๆคน (รุ่นน้องนักศึกษาแพทย์ หรือเพื่อนร่วมวิชาชีพ) หรือผู้ที่สนใจได้ครับ ว่าสามารถมีทางเลือกอะไรที่มีความเป็นไปได้บ้างในตอนนี้